ความเป็นมาของธุรกิจ
ความสำคัญของแนวคิด
หลักการและเหตุผลในการประกอบธุรกิจ
จากอดีตประเทศไทย เราเป็นประเทศเกษตรกรรมส่วนใหญ่ แต่เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ประเทศไทย
เริ่มมีนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนในประเทศ และเนื่องจากประเทศไทยเรามีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งลักษณะภูมิศาสตร์ หรือ ประชากรศาสตร์ต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้ให้กับประชากรทุกชนชั้นทุกระดับ มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย มีการตั้งนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง เป็นต้น และนับวันยิ่งมีการเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศมีประมาณ 140,000 โรงงาน ทั่วประเทศ (ข้อมูลจากอุตสาหกรรมโรงงาน) บางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ ประเทศไทยเราเป็นศูนย์กลางการส่งออกที่ใหญ่ที่สุด
ทุกโรงงานที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงงานขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ SME ต่าง ๆ ล้วนต้องใช้สินค้าซีลกันรั่ว
แทบทั้งสิ้น แต่ใช้มากใช้น้อยจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน ลักษณะของสินค้า ซีลกันรั่วเป็นสินค้าที่เราเรียกว่า สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป เราเรียกว่า (Consumable part หรือ Spare part) มีการซื้อเข้ามาใช้งานตลอด มีการทำสต๊อกสินค้าทุกโรงงานอุตสาหกรรม และมีการซื้อขายตลอดเวลา และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้งาน ไม่ใช้ไม่ได้ รอเวลานานเกินไปก็ไม่ได้ เพราะมีผลเรื่องการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญเรื่องเวลาที่สูญเสีย (Timeless) เช่น โรงไฟฟ้ากลุ่มปิโตรเคมี ฯลฯ และมีผลด้านสิ่งแวดล้อม เป็นภาวะทางสังคมที่เห็นชัดเจน ซึ่งกำลังรณรงค์กันอยู่ทุกวันนี้ ทุกโรงงานอุตสาหกรรมต้องไม่ปล่อยให้เกิดการรั่วเกิดขึ้น หรือรั่วให้น้อยที่สุด และต้องแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันการณ์ จึงเป็นสินค้าที่มีความสำคัญประเภทหนึ่ง
สินค้าซีลกันรั่ว เป็นตลาดที่ใหญ่มาก มีการแข่งขันกันสูง ประเภทของสินค้าซีลกันรั่วมีหลายชนิด
โดยหลัก ๆ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
• สินค้ากลุ่มที่ซีลอยู่กับที่ (Static Seal) เช่น ประเก็นแผ่น ประเก็นเหล็ก ยางแผ่น ฯลฯ
• สินค้ากลุ่มที่ซีลโดยมีการหมุนเกิดขึ้น (Rotating Seal) เช่น ประเก็นสำหรับปั๊มต่าง ๆ โอริง ออยซีล
เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่และมีการแข่งขันที่สูง จึงต้องมีการเลือกทำตลาดสินค้าซีลกันรั่วให้เหมาะสม และ
สามารถทำกำไรได้ มีข้อดี สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ ซึ่งสินค้าดังกล่าว คือ ประเก็นสำหรับหน้าแปลน ซึ่งสามารถจำแนกย่อยอีกหลายประเภท ประเก็นเชือกสำหรับปั้มและวาวล์ สินค้าซีลกันรั่ว ตามที่กล่าวมา เบื้องต้น เน้นคุณภาพมากกว่าราคาที่ถูก และมีเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจ ดังนั้นจึงต้องเลือกอุตสาหกรรมที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงผลิตไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน โรงกระดาษ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ งบประมาณในการลงทุนมากกว่า 5,000,000 บาท และมีกำลังซื้อแน่นอน ไม่ว่าจะมีปัญหาเศรษฐกิจ หรือการเมืองในประเทศ ก็ไม่มีผลกับอุตสาหกรรมเหล่านี้ ทั้งหมดจึงเป็นหลักการและเหตุผลในการประกอบธุรกิจสินค้าซีลกันรั่ว
การวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรคของธุรกิจ
สินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป (Consumemable Part and Spare Part) หนึ่งในนั้น
ได้แก่ สินค้าซีลกันรั่ว เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นมากในทุกอุตสาหกรรม ปริมาณการใช้ค่อนข้างแน่นอน มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นตามธุรกิจที่เติบโตขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมมีเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่ใครจะได้รับโอกาสในการแข่งขัน
จึงวิเคราะห์ได้ว่า โอกาส (Oppotunity) สำหรับธุรกิจสินค้าซีลกันรั่ว มีหลายอย่าง ดังนี้
• กลุ่มลูกค้ามีกำลังการซื้อที่แน่นอนและมีโอกาสจะซื้อมากขึ้น
• สามารถทำกำไรจากสินค้าได้ เพราะสินค้าบางอย่างเป็นสินค้าเฉพาะ
• มีวัฎจักรการซื้อขายที่เร็ว ทำให้สามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง
• ลูกค้าให้ความสำคัญที่คุณภาพมากกว่าราคา
• ใช้ต้นทุนในการทำธุรกิจไม่สูงมาก เพราะสินค้าบางอย่างไม่ต้องเก็บสต๊อกนาน หรือซื้อเข้ามาและขายออกไป
• เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าบางชนิดจากทางต่างประเทศ มีความน่าเชื่อถือมากกว่า และขายได้ง่ายกว่า
สำหรับการทำธุรกิจเมื่อมีโอกาส ย่อมมีอุปสรรคเช่นกัน ธุรกิจสินค้าซีลกันรั่ว ก็มีอุปสรรค (Treat) หลายเรื่อง
ด้วยกัน ดังนี้
• ใช้ต้นทุนในการทำธุรกิจไม่สูงมาก ทำให้มีคู่แข่งมาก
• สินค้าบางชนิดไม่ได้มีเทคโนโลยีมาก ทำให้ต้องแข่งขันกันที่ราคา
• มีวัฎจักรการซื้อขายที่บ่อยครั้ง ทำให้บางครั้งลูกค้าอาจจะไม่กลับมาซื้อเรา
• วางแผนการทำงานได้ยาก เพราะมีลูกค้าหลายกลุ่ม ความต้องการแตกต่างกันไป
ความแตกต่างของธุรกิจและการมีจุดเน้น (Focus) ของธุรกิจ
ความแตกต่างของธุรกิจสินค้าซีลกันรั่ว อันดับแรก คือ การเป็นตัวแทนจำหน่าย และการที่ไม่ได้เป็นตัวแทน
จำหน่าย การที่เป็นตัวแทนจำหน่ายย่อมดีกว่าแน่นอน ทั้งในด้านภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และโอกาสที่จะขาย ส่วนการที่ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่าย โอกาสที่จะขายย่อมน้อยกว่า ขาดความน่าเชื่อถือ ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะขายได้ ต้องใช้ราคาในการแข่งขันถึงจะมีโอกาส และไม่เป็นผลดีสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว
อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ สินค้าของแต่ละแบรนด์ที่เป็นคู่แข่งขัน เพราะแต่ละแบรนด์ย่อมมีสินค้าที่แตกต่างกัน ถึงแม้
จะเป็นสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเหมาะกับอุตสาหกรรมเดียวกัน ยกตัวอย่าง ประเก็นแผ่น ซึ่งแต่ละแบรนด์จะมีประเก็นแผ่นที่ผลิตมามาตรฐานเดียวกัน เอกสารใช้งานได้เหมือนกัน แต่พอใช้งานจริงกลับเห็นความแตกต่างกัน อีกแบรนด์ใช้งานได้ อีกแบรนด์กลับใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นตัวสินค้าก็เป็นตัวที่กำหนด Focus ของธุรกิจได้เหมือนกัน
สำหรับสินค้าของเราได้มีจุดเน้น (Focus) ของธุรกิจ คือ เป็นสินค้าคุณภาพ เน้นแก้ปัญหาให้กับลูกค้า
เป็นหลัก ไม่มีปัญหามลภาวะ และไม่เป็นพิษ (Non – Asbestos) ไม่พยายามเข้าไปแข่งขันด้านราคา สินค้าที่เราจำหน่าย ทางเราก็เป็นตัวแทนโดยตรงจากทางต่างประเทศเช่นกัน สินค้ามีหลากหลาย พอ ๆ กับคู่แข่งที่เรามีอยู่ แต่เราจะเน้นที่งานแก้ปัญหาเป็นหลัก โดยเลือกขายสินค้าบางชนิดเท่านั้น ซึ่งเป็นการง่ายในการเก็บสต๊อคสินค้า และการทำตลาด
สรุปก็คือ เราจะเน้นกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทีมีกำลังซื้อ และเน้นสินค้าที่แก้ปัญหา
มากกว่าสินค้าที่เน้นราคา แต่ต้องยอมรับว่า ราคาสินค้าของเรามีราคาสูงกว่าคู่แข่ง และเราเป็นสินค้าใหม่ต้องใช้เวลาช่วงเวลาหนึ่งในการทำตลาดและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า แต่เมื่อตลาดมีความต้องการและต้องใช้แน่นอน เราก็มีโอกาสที่จะขายได้เช่นกัน
|